วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

เดินตามฝันสู่ “ สุขแท้ด้วยปัญญา”



ช่วงกลางเดือนกันยายน 2552 เครือข่ายพุทธิกา ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานเตรียมความพร้อมโครงการ สุขแท้ด้วยปัญญา ปี 2 ณ โรงแรม เดอะ รอยัล เจมส์ ลอดจ์ 2000 จ.นครปฐม โดยนายสมศักดิ์ กานต์ภัทรพงศ์ ผู้จัดการโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา เล่าว่าปีนี้มีโครงการที่ผ่านการคัดเลือกทั้งสิ้น 56 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการก็มีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป

มาดูกันว่าในบรรดาผู้ที่ได้รับคัดเลือกมาร่วมเส้นทางการสร้างสรรค์ความสุขแบบของจริง-ของแท้ ที่ไม่ต้องใช้เงินเป็นปัจจัยหลัก ใครมีไอเดีย มีความฝันที่จะไปสร้างสุขแท้ด้วยปัญญากันอย่างไรบ้าง



นายเปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี และ หัวหน้าโครงการ พลังภาพยนตร์ชวนค้นคนดี กล่าวว่า จะเริ่มดำเนินการในเดือน ตุลาคม ซึ่งพร้อมกับหลายโครงการที่ได้ส่งเข้ามา กลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ,3 ,4 ของโรงเรียนที่กำลังศึกษาอยู่

ด้วยหวังว่าการผลิตภาพยนต์สั้น ซึ่งข้อกำหนด คือ ต้องถ่ายทำจากเรื่องจริง และต้องถ่ายจากบุคคลใกล้ตัวที่เด็กๆ รู้จัก นั่นก็เพื่อถ่ายทอดให้เห็นว่าเขาผู้นั้นทำความดีอย่างไร โดยอาจเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว หรือชุมชนก็ได้ หัวหน้าโครงการนี้ยังหวังว่าความดีที่เด็ก ๆ ได้พบเห็นจะเป็นตัวช่วยให้เยาวชนหันมาทำความดีกันมากขึ้น ทั้งนี้การใช้ภาคทฤษฏีและปฏิบัติควบคู่กันจะทำให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ เข้าใจได้ง่ายขึ้น ว่าการทำความดีไม่ใช่เรื่องทำยาก ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ทำแล้วมีความสุข

“ผมคิดว่าคนประพฤติดี ทั้งแบบเปิดเผย และแบบปิดทองหลังพระ ซึ่งควรได้รับคำชมเชย และกำลังใจ เพื่อให้ผลของการทำดี ขยายวงกว้าง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ทุกคน รู้ว่าคนทำดีช่วยเหลือสังคม มีจิตอาสา จะได้รับคำชม เพราะท้ายที่สุดแล้วผมเชื่อว่าคนที่ทำความดีผลดีจะต้องตอบแทน” นาย เปรมปพัทธ กล่าว



นายฉัตรชัย เชื้อรามัญ (ครูไข่) ผู้อำนวยการสำนักข่าวเด็กและเยาวชน ขบวนการตาสัปปะรด และที่ปรึกษาโครงการ ธนาคารเพื่อการแบ่งปัน (Sharing Bank) กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ มาจากประสบการณ์ คือ มีเด็กยากลำบากที่อยู่ตามสถานดูแลต่างๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพ่อแม่อุปถัมภ์ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พ่อแม่อุปถัมภ์มาเยี่ยม เด็กเหล่านั้นจะพยายามทำให้ตัวเองมอมแมมให้รู้สึกน่าสงสาร เพื่อจะได้สิ่งของพิเศษจากพ่อแม่อุปการะ

หลังจากนั้น ได้ทำการสำรวจว่าความต้องการที่แท้จริงของเด็กเหล่านั้นคืออะไร โดยให้เล่นเกมส์ แยกแยะระหว่าง “ความจำเป็น” กับ ”ความต้องการ” ปรากฏว่าเด็กส่วนใหญ่มีของเหลือใช้เป็นจำนวนมาก เลยเกิดความคิดให้เด็กเหล่านั้น เรียนรู้การแบ่งปันโดยการนำสิ่งที่เหลือใช้ไปบริจาค นอกจากจะได้รู้จักการแบ่งปันแล้วยังทำให้เค้ารู้สึกมีคุณค่าด้วย

นอกจากนี้การที่เคยช่วยผู้ประสบภัยพิบัติ เช่น สึนามิ นายฉัตรชัย พบว่า ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติ ก็จะมีการส่งสิ่งของเครื่องใช้ ไปแต่กลับพบว่ามีของเหลือ เนื่องจากเกินความต้องการ กองทิ้งอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนของจำเป็นกลับไม่ค่อยถูกส่งไปช่วย

“การบริจาคช่วยเหลือ ก็มีในช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่ความต้องการยังคงอยู่ ดังนั้นธนาคารเพื่อการแบ่งปัน (Sharing Bank) จะเป็นตัวจุดประกายให้คนนำของเหลือมาแลกของที่ขาด แต่การแลกเปลี่ยนต้องให้ชุมชนจัดการกันเอง ตอนนี้ธนาคารเพื่อการแบ่งปัน มีทั้งหมด 4 แห่ง โดยใช้กรุงเทพ เป็นศูนย์กลางเพื่อประสานงาน จาก 3 จังหวัดคือ จ.ชัยภูมิ จ.บุรีรัมย์ และ จ.เชียงราย โครงการนี้จะเป็นการสร้างรากฐานสังคมให้ไม่ทอดทิ้งกัน ไว้รองรับกับวิกฤติ ที่จะเข้ามาในอนาคต” นายฉัตรชัย กล่าวในที่สุด



นายณฐกร นิยมเดชา หัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษากิจกรรมเพื่อสังคม และหัวหน้าโครงการพื้นที่สร้างสรรค์ สื่อสร้างสุขเพื่อน้อง ต.ขอนคลาน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล กล่าวว่ากิจกรรมที่จะเกิดขึ้น จะจัดร่วมกับ กรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดสตูล ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น ซึ่งเน้นการพัฒนาสถานที่รอบๆชุมชน เช่น ลานวัด/มัสยิด เป็นต้น

“ปัญหาที่เกิดขึ้นใน จังหวัดสตูล ขณะนี้คือ มีประชากรช่วงแรกเกิด – 25 ปี จำนวนกว่าครึ่ง ของประชากร 200,000 คน และเยาวชนจำนวนมาก ยังตกเป็นเหยื่อสิ่งเสพติด สื่อลามกอนาจาร ที่มีวางจำหน่าย ทางด่านชายแดนไทย – มาเลเซีย สามารถหาซื้อได้อย่างโจ่งแจ้ง ส่งผลให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ด้านผู้ปกครองเองก็ยังขาดความรู้ที่จะดูแลบุตรหลาน ว่าการเลือกรับสื่อที่ดีควรเป็นเช่นไร เช่นการดูทีวีที่บ้าน หากมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ก็ไม่ได้มีการนั่งพูดคุยกันว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่สมควรเลียนแบบ ด้วยเหตุนี้การสร้างสื่อสำหรับเยาวชนจะทำ ให้เค้าได้สร้างสรรคกันเอง ว่าสื่อที่ดีควรเป็นอย่างไร และต้องการแบบไหน ก็ให้เค้าทำออกมา” นายณฐกร อธิบาย

นายกนก กาคำ หัวหน้าโครงการวัฒนธรรมสร้างปัญญา สร้างสุขให้ชุมชน ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า เนื่องจากชาวบ้านเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เย้า (อิ้วเมี่ยน) จึงใช้ประเพณีปีใหม่เย้า(ตรุษจีน) ที่จัดเป็นประจำทุกปี มาเป็นกิจกรรมเพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น เพราะวันขึ้นปีใหม่นี้มีข้อคิดสอดแทรกอยู่ เช่น ไม่ใช้เงินในวันปีใหม่ เพราะเชื่อว่าจะไม่สามารถเก็บเงินอยู่ เป็นต้น



ส่วนเด็กๆ ต้องเดินทางไปตามบ้านของผู้สูงอายุ เพื่อทำการยกน้ำชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคารพ และขอขมาลาโทษที่ได้ล่วงเกิน

“เหตุที่ใช้งานปีใหม่เย้าเพราะมีความเชื่อที่ว่า หากทำความดีแล้ว จะช่วยให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลกับชีวิต และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคมซึ่งเกิดจากการอยู่ร่วมกัน ทั้งในครอบครัวและชุมชน มีความรักใคร่ กลมเกลียว พร้อมทั้งส่งผลให้เยาวชนเห็นคุณค่าภูมิปัญญาตนเอง สำหรับโครงการนี้หากเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ผู้นำชุมชน ครู ปราชญ์ชาวบ้าน อบต. เห็นความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนก็จะทำให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายกนก กล่าว

โครงการโฆษณาสีขาว โดยพระประสงค์ วชิรญาโณ วัดป่าทับทิมนิมิต ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ อธิบายว่า พื้นที่อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ อยู่ติดกับแหล่งอบายมุขในฝั่งประเทศกัมพูชา และ ชาวบ้านในพื้นที่ มักจะข้ามชายแดนไปเสี่ยงโชค การเสพสุราและเที่ยวผู้หญิง ก่อให้เกิดปัญหาหนักในชุมชน ซึ่งจะใช้สถานีวิทยุชุมชน ที่ชาวบ้านนิยมฟัง เป็นสื่อเผยแพร่รณรงค์ ให้หลีกเลี่ยงอบายมุข โดยให้กลุ่มลูกหลาน เป็นผู้ผลิตสื่อสร้างสรรค์หรือ โฆษณาสีขาว เพื่อเชิญชวนพ่อแม่ญาติพี่น้องให้หันมาสร้างความสุขด้วยการทำความดีช่วยเหลือชุมชน

“อาตมาเชื่อว่าเยาวชนเหล่านี้มีพลังที่จะสร้างสรรค์ จนสามารถสื่อเข้าถึงหัวใจของผู้ใหญ่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการคล้อยตาม นอกเหนือจากนี้การที่เราดึงกลุ่มเยาวชนเข้ามาร่วมโครงการ ยังเป็นอุบายที่จะทำให้พวกเขาพิจารณาเห็นโทษของอบายมุขและประโยชน์ของการทำความดีอย่างลึกซึ้งในกระบวนการผลิตโฆษณานั้นเอง” ประสงค์ กล่าว

นางพัชรินทร์ ชัยอิ่นคำ ผู้รับผิดชอบโครงการ “ไม่รวยก็สุขได้” อ.เวียงชัย จ.เชียงราย กล่าวว่า ปัจจุบันระบบทุนนิยมเข้ามาทำให้ คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น การค้าก็เน้นแต่ยอดจำหน่าย คนทั่วไปที่อยู่ในสังคมแบบนี้ก็เลยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักคุณธรรมจริยธรรม
“เราจะส่งเสริมให้เขาทำอาหารเพื่อสุขภาพทานเอง โดยใช้ผักผลไม้ที่มีในท้องถิ่น และส่งเสริมให้ดูแล

สุขภาพด้วยยาสมุนไพรไทยในชุมชน พร้อมทั้งสอนให้ทำของใช้เองภายในครัวเรือน เพื่อลดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เราเชื่อว่าหากเขาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้เข้าร่วมจะมีความสุขโดยที่ไม่คิดว่าต้องรวยเท่านั้นถึงจะมีความสุขได้” นางพัชรินทร์ อธิบาย

นายจิรัฏฐ์ วัชรญานิณธ์ หัวหน้ากลุ่มเม็ดดิน ฝ่ายประสานงานกิจกรรมชุมชน ผู้รับผิดชอบโครงการ ต้นกล้าปัญญา ต. ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ กล่าวว่า การสอนให้เด็กเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ นอกจากจะส่งผลให้เยาวชนรู้ประโยชน์ของธรรมชาติแล้ว ยังช่วยหล่อหลอมจิตใจให้อนุรักษ์ธรรมชาติได้อีกด้วย



“วิธีดำเนินเราจะ ให้ปราชญ์ชาวบ้านเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ทั้งส่วนที่เป็นหลักธรรมคำสอน วัฒนธรรม ประเพณี และการผลิตฝีมือหัตถกรรม เช่นการผลิตของใช้สอยในชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน นอกจากจะส่งผลให้ผู้เข้าร่วมตระหนักถึงความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้วยังทำให้รู้ว่า การพึ่งพาตัวเองจะทำให้ต้นกล้าซึ่งหมายถึงเยาวชน เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ และชุมชนจะมีความเข้มแข็งได้ในที่สุด” นายจิรัฏฐ์ อธิบาย

ไม่นานนับจากนี้ ความฝัน-ความตั้งใจเหล่านี้จะถูกแปรสภาพให้เกิดผลในทางรูปธรรมได้ในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น