วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

“จิตสำนึกใหม่ ในงานคุณภาพ”


“จิตสำนึกใหม่ ในงานคุณภาพ”

การสร้างจิตสำนึกใหม่ ในงานพัฒนาคุณภาพ นำเสนอแนวคิดวิธีการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในระดับรากฐานของวิธีคิดและจิตสำนึก เข้าใจความจริงของการพัฒนาคุณภาพอย่างลุ่มลึก ใคร่ครวญตรึกตรองอย่างลึกซึ้งต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิต จนเกิดการประจักษ์แจ้งในใจตนเองถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตทั้งตัวบุคลากรและผู้มารับบริการ เกิดการพัฒนาคุณภาพตามบริบท นำครอบครัว ชุมชน องค์กรท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน ความเชื่อความศรัทธาต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมประกอบกับเสริมพลังอำนาจผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชนสามารถดูแลตนเองและชุมชนได้ จนเกิดเป็นชุมชนเข้มแข็ง นำสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปได้

นพ.มงคล ณ สงขลา (กรรมการบริหารสถาบันฯ)
ศ.พญ.ชนิกา ตู้จินดา (กรรมการกำกับทิศในโครงการ SHA)
อ.ดวงสมร บุญผดุง *(รองผอ.สรพ.และผู้จัดการโครงการ SHA


วันที่ 15 ธันวาคม. 2553 เวลา 0930-1030

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สธ.เตรียมพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลยุคใหม่ทั่วประเทศ



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลยุคใหม่ทั่วประเทศ เริ่มดำเนินการได้ มิ.ย.นี้ พร้อมมอบรางวัลโรงพยาบาลที่ผ่านการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังมอบรางวัลผลงานการพัฒนาคุณภาพ ตามมาตรฐานบริการสาธารณสุขประจำปี 2553 โดยเป็นโรงพยาบาลที่ผ่านการคัดเลือกของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. เป็นการเน้นย้ำให้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ปรับตัวและพัฒนาให้เป็นโรงพยาบาลยุคใหม่ มีความทันสมัย และบริการประทับใจเทียบเท่าโรงพยาบาลเอกชน

โดยเป็นการเน้นการทำงานแบบ 3 เอส คือ การพัฒนาโครงสร้างของโรงพยาบาล ปรับปรุงด้านกายภาพ ความรื่นรมย์ภูมิทัศน์ของโรงพยาบาล ให้สะอาด โดยจะเริ่มในทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ เดือนมิถุนายน 2553 นี้

การพัฒนาระบบบริการมุ่งเน้นความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่ในการให้บริการ ซึ่งทุกโรงพยาบาลจะต้องมีพนักงานต้อนรับ โดยอาจมาจากบุคลากรในโรงพยาบาลหรือชมรมผู้สูงอายุในท้องถิ่น มีชุดแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เหมาะกับสภาพอากาศของไทย และเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ และการพัฒนาระบบ เน้นการบริการจัดการแบบธรรมาภิบาล มีคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาล ประเมินผลคุณภาพของโรงพยาบาลทั้งภายในและภายนอก

ทั้งนี้ ต้องมีเกณฑ์ชี้วัดเรื่องคุณภาพที่สอดคล้องเหมาะสมสำหรับโรงพยาบาลที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ในงานประกาศผลงานQuality Prize of The Year 2010 ได้แก่ ผลงานอุปกรณ์ยึดจับฟิล์มฟันอะคริลิค ของ รพ.ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โรงพยาบาล คือ บ้าน อันอบอุ่น



โรงพยาบาล คือ บ้าน อันอบอุ่น Healing Environment มีโอกาสได้เรียนรู้ เรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยา ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ที่สรพ. ส่งเสริมให้รพ.ได้มีการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้เยียวยาผู้คนที่เกี่ยวข้องในโรงพยาบาล ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่ปรับปรุงนั้น มาจากแนวคิดที่จะรับรู้ความรู้สึก ความทุกข์ ของคนไข้ การสัมผัสแสง เสียง กลิ่น รสชาติ นำมาปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้เกิดความอบอุ่น ซึ่งแต่ละรพ.ได้มีการจัดสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย บางรพ. ส่งผลงานการจัดสวนสวยมาเลยค่ะ ปรับปรุงโครงสร้างสวยงาม แต่ดูแล้วยังไม่ตรง concept ของการเยียวยา ขอนำทฤษฎีมาฝากและมีตัวอย่างจากโรงพยาบาลมาฝากด้วยค่ะ

สรพ.ได้มีการส่งเสริมให้รพ.พัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากสิ่งแวดล้อมที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐาน เช่นเรื่องของการกำจัดขยะ น้ำเสีย ระบบสำรองฉุกเฉินต่างๆ จนถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ จนถึงการต่อยอดด้วย สิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยา

Healing Environment หมายถึงการจัดสิ่งแวดล้อมในสถานพยาบาลที่ทำให้ผู้ใช้สอยรู้สึกดี สบาย ผ่อนคลาย ซึ่งความรู้สึก สัมผัส ถึงความต้องการ ความทุกข์ของผู้ป่วย เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การบำบัดและเยียวยาที่ได้ผล
จากผลการศึกษา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า องค์ประกอบต่างๆ ในสภาพแวดล้อม เช่น แสง สี เสียง กลิ่น ทัศนียภาพ งานศิลปะ เสียง วัสดุและพื้นผิวต่างๆ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการบำบัดเยียวยาผู้ป่วย



สภาพแวดล้อมที่ดี มีผลต่อผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิผลของการรักษาและเร่งการฟื้นตัวของผู้ป่วย รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ด้วย ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมด้วยการเลือกใช้ สี แสง พื้นผิววัสดุ และเสียง เพื่อสร้างบรรยากาศของสภาพแวดล้อมเพื่อการเยียวยานี้จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง



การจัดสภาพแวดล้อมที่เยียวยานี้ เราใช้ประสาทสัมผัส (ผัสสะ) ทั้ง 5 ของเราในการตีความ ซึ่งได้แก่ การมองเห็น-รูป Sight, การรู้รส Taste, การได้กลิ่น Smell, การได้ยิน-เสียง Hearing และการสัมผัส Touch ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเงื่อนไขทางกายภาพของผู้ใช้สอยพื้นที่ ดังนั้น การสร้างความเข้าใจในเรื่องของผัสสะทั้งหลายนี้ จึงเป็นกุญแจดอกสำคัญในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมเพื่อการเยียวยาที่ได้ผล ซึ่งจะแยกอธิบายได้ดังนี้
การมองเห็น Sight องค์ประกอบที่ให้เรามองเห็นนั้น ได้แก่
· แสง Light แสงที่พอเหมาะ แสงธรรมชาติ แสงประดิษฐ์ หรือแสงแดด
· สี Colour สีสรรที่ใช้ประกอบอาคาร
· รูปทรง Form ลักษณะรูปทรงของวัตถุที่มองเห็น
· ทัศนียภาพ Views ภาพที่ปรากฏต่อสายตา
· งานศิลปะ The arts ซึ่งแบ่งออกเป็น
ทัศนศิลป์ Visual arts ภาพวาด จิตรกรรม ปฏิมากรรม
ศิลปการแสดง Performing arts ละคร การเล่นดนตรี
การรู้รส Taste
รสชาติของอาหารในสถานพยาบาล
การได้กลิ่น Smell
กลิ่นที่เกิดขึ้น เช่นกลิ่นยา กลิ่นน้ำยาเคมี หรือ กลิ่นดอกไม้ ฯลฯ
การได้ยิน-เสียง Hearing
เสียงจากแหล่งต่างๆมากมายในสถานพยาบาล ทั้งที่เกิดจากมนุษย์ เครื่องมือ เครื่องจักร เสียงที่เกิดจากธรรมชาติ และเสียงเพลง
การสัมผัส Touch
พื้นผิว/ความหยาบ ละเอียด ลื่น ความสะอาด
นอกจากองค์ประกอบในเรื่องของการจัดการผัสสะทั้ง 5 แล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งยวดอีกประการหนึ่งคือ เรื่องของใจ Mind การบริหารอารมณ์ในการรับมือกับผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยของเจ้าหน้าที่ การรับรู้ทางใจระหว่างผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการแสดงออกทางอารมณ์ด้วยการกระทำ คำพูด ที่เป็นผลความรู้สึกนึกคิดของทุกๆฝ่าย ก็ดูเหมือนจะมีความสำคัญต่อการเยียวยาไม่น้อยไปกว่าผัสสะทั้ง 5 เลย



รพ.ชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในสามจังหวัดชายแดนใต้ค่ะ

เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น สรพ.จึงรณรงค์ให้รพ. ส่งผลงานที่เยียวยาผู้คน ในรพ.เพื่อเข้ารับรางวัลในการประชุมวิชาการประจำปี HA National Forum ที่อิมแพค เมืองทองธานี จึงเห็นความตั้งใจของรพ.ที่จะพัฒนาเรื่องนี้ คณะกรรมการฯของสรพ.ได้คัดเลือกผลงานที่สามารถเป็นตัวอย่างได้ จำนวน 5 รพ. เพื่อเรียนรู้ ซึ่งมีทั้งรพ.เอกชนและรพ.ชุมชน คณะกรรมการของเรามีแนวทางการพิจารณา คัดเลือกและดูแนวคิดของรพ.ที่พัฒนาเรื่องนั้น วันนี้ขอนำเสนอแนวคิดของรพ.แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นรพ.เอกชน ในกทม. ที่ผ่านรอบแรกของการคัดเลือกมา แลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับรพ.ที่สนใจที่จะพัฒนาเรื่องนี้ เพราะหากพัฒนาเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยาอย่างเข้าใจแล้ว ทำให้เรื่องกระบวนการดูแลรักษา การเข้าใจ เข้าถึงความรู้สึก ความทุกข์ ของผู้ป่วยได้รับการพัฒนามากขึ้นไปด้วยค่ะ

มีตัวอย่างจากรพ.แห่งหนึ่งค่ะ รพ.นี้ ท่านผอ.รพ.มีแนวคิดที่จะทำให้รพ.เป็นเหมือนบ้านที่อบอุ่น สมาชิกทุกคนในรพ. มีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่ โครงสร้างร่วมกับสถาปนิก ที่มีความคุ้นชินกับองค์กรนั้นๆ เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนเกิดเป็นรพ. ที่อบอุ่น เหมือนบ้าน จนทำให้ความรู้สึกรักในบ้านของตนเอง แผ่ขยายไปยังผู้รับบริการไปด้วย

คณะผู้บริหาร และบุคลากรทุกคนของโรงพยาบาล ร่วมกันสร้างบ้านหลังใหญ่หลังนี้ ให้เสร็จสมบูรณ์ขึ้น ด้วยความรัก และความเอาใจใส่ เราตั้งใจ และมุ่งมั่นที่จะให้ทุกคนที่เข้ามาใช้บริการที่บ้านของเรา ได้รับการต้อนรับ และการบริการอย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในโรงพยาบาล คุณจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อบอุ่น การต้อนรับที่น่าประทับใจ ซึ่งทุกคนตระหนักถึงหลักการบริการของโรงพยาบาล ที่ว่า เราจะดูแลทุกคนที่เข้ามาหาเรา ประดุจว่า เสมือนดั่งเป็นครอบครัวของเราเอง เรามั่นใจว่า ทุกท่านจะได้รับการบริการที่ดี ตรงกับความต้องการ อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และยังได้รับความรัก ความประทับใจ เอาใจใส่จากพวกเรา กลับไปอีกด้วย



บริเวณที่ก่อสร้างรพ.แห่งนี้ เป็นบ้านของคุณพ่อท่านเจ้าของรพ. มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มากมาย แม้จะอยู่ในเมืองหลวง ต้นไม้ใหญ่ถูกอนุรักษ์ไว้ไม่ให้ตัด แม้จำเป็นต้องสร้างตึก หรือสระน้ำ เพิ่มเติมก็ตาม ทำให้บรรยากาศของที่นี่ ร่มรื่น สดชื่น เป็นอย่างยิ่ง



วินาทีแรกที่เดินเข้าไปที่รพ.แห่งนี้ บริเวณตึกผู้ป่วยนอก ออกแบบด้วย concept ของ cowboy เสาอาคารออกแบบเหมือนถังนมวัว เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งอย่างมีสไตล์ (อันนี้ สไตล์พอลล่านะคะ) เรามีสถาปนิกไปเยี่ยมด้วยค่ะ ท่านก็คิดเหมือนกัน เราเข้าชมห้องตรวจสูตินรีเวช ที่ออกแบบให้มีต้องตรวจภายในอยู่ภายในห้องนั้น ทำให้ผุ้รับบริการไม่รู้สุกเขินอาย เมื่อต้องตรวจภายใน มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องน้ำเฉพาะไม่ต้องเดินออกมาภายนอกห้อง บริเวณที่ซักประวัติมีความเป็นส่วนตัวพอสมควร แสดงถึงการเข้าใจความรู้สึกขอผู้รับบริการ แล้วนำมาร่วมกันออกแบบโครงสร้าง นอกจากนี้ ห้องตรวจเด็ก ห้องพักผู้ป่วย บริเวณทางเชื่อมล้วนแต่ออกแบบมาอย่างประณีต ใส่ใจรายละเอียด ห้องพักผู้ป่วยมีระเบียง มีสวนหย่อมให้สามารถออกมาเดินเล่นได้ด้วย

นอกจากนี้บริเวณ รพ.ยังมีสระว่ายน้ำ ห้องเรียน ดนตรี ศิลปะ ไว้บริการคนภายนอกและเจ้าหน้าที่อย่างครบวงจร เป็นการทำงานการออกแบบ ที่สอดรับกับการขยายโครงสร้างของตึกเป็นอย่างดี

ที่นำเสนอมาไม่ได้ให้รพ.อื่นๆ ลงทุนก่อสร้างแบบนี้ นะคะ อยากให้เรียนรู้วิธีคิด ของการออกแบบ การทำงาน การให้บริการผู้ป่วยด้วยความรักและความเข้าใจ จนทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเยียวยาแบบนี้ค่ะ โรงพยาบาล จึงเป็นบ้านที่อบอุ่นได้

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

โรงพยาบาลวิถีอิสลาม




การประชุมทางวิชาการที่สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือสรพ. จัดขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา หัวข้อ “โรงพยาบาลวิถีอิสลาม : แนวทางและรูปแบบ” โดยเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ตรงของนายแพทย์มาหะมะ เมาะมูลา จากโรงพยาบาลรือเสาะ จ.นราธิวาส

"เนื่องจากในโลกของเราเป็นโลกที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในหลายๆ ความเชื่อ หลายแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีบริบทที่แตกต่างกันไป กลุ่มคนมุสลิมก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีวิถีดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างจะมีรูปแบบเฉพาะ และพวกเขาต้องการการบริการที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิต ความเชื่อของพวกเขาได้ ดังนั้น เราควรที่จะมีแนวทางในการรักษาที่สามารถตอบสนองต่อวิถีความเชื่อของเขา” นายแพทย์มาหะมะ เกริ่นนำเข้าสู่เนื้อหา

อิสลาม เป็นวิถีชีวิตที่ยั่งยืนเขาไม่สามารถที่จะแยกศาสนาออกจากการดำรงชีวิตได้และแยกออกจากการรักษาพยาบาลก็ไม่ได้ เพราะเขาต้องใช้เวลาตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา นั่นคือการละหมาด เพื่อให้อยู่ในครรลองของศาสนา ซึ่งมุสลิม ทุกคนจะต้องยึดตามแนวทางของอัลกุรอาน เพื่อการดำรงชีวิตขิงพวกเรา

สำหรับรูปแบบในการให้บริการในโรงพยาบาลทั่วๆไปนั้นเราจะเห็นได้ว่าผู้ป่วยมุสลิมบางคน เมื่อเขาได้รับบริการอย่างที่เคยเป็นอยู่ทั่วๆไปถึงแม้เขาจะป่วยหนัก แต่เขาก็จะไม่ยอมเข้ารับการรักษาโดยเฉพาะผู้ที่เคร่งในศาสนา เนื่องจากโรงพยาบาลไม่ได้เตรียมหรือตอบสนองต่อความต้องการในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาในการให้รักษาคนไข้

เนื่องจากโรงพยาบาลไม่ได้เอื้อ หรือตอบสนองต่อความต้องการของบุคลากรเหล่านี้ได้ ดังนั้น เราจึงได้ตั้งกลุ่มหรือรวมรวบบุคลากรทางการแพทย์ หรือที่เรียกว่า “จิตอาสา” ในการเข้ามาส่งเสริมองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรของเรา หรือแม้แต่การขอคำแนะนำจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิเช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือการส่งบุคลากรของเราออกไปศึกษาดูงานที่ประเทศ จอร์แดน และทุกครั้งที่ได้ข้อมูลมาเราจะมีการเสนอขอความคิดเห็นหรือคำรับรองจากองค์กรกลาง อาทิเช่น คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกครั้ง เพื่อลดข้อสงสัยหรือข้อซักถามจากผู้รับบริการถึงประเด็นอันละเอียดอ่อนทางหลักปฏิบัติของศาสนา

นายแพทย์มาหะมะ กล่าวว่า โรงพยาบาลรือเสาะบูรณาการวิถีอิสลามสู่การให้บริการทางสุขภาพ โดยรูปแบบการดำเนินการเชิงนโยบายของโรงพยาบาล พร้อมกำหนดวิสัยทัศน์โรงพยาบาลอย่างสอดคล้อง และมีทิศทาง ว่า

“โรงพยาบาลรือเสาะ โรงพยาบาลวิถีชุมชน ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม” ซึ่ง ความเป็นวิถีชุมชนมิได้จำกัดเพียงการนำวิถีอิสลาม มาบูรณาการเท่านั้น แต่ศาสนาอื่น ๆ และผู้รับบริการต่างสัญชาติด้วย

ปัญหาประการหนึ่งที่พบคือบุคลากรทางการแพทย์กับบุคลากรทางด้านศาสนาแยกความเชี่ยวชาญตามปัจเจก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผสานองค์ความรู้เพื่อบูรณาการวิถีอิสลาม สู่การบริการ ทางสุขภาพอย่างถูกต้องเหมาะสม เพราะในมิติของอิสลาม ถือว่าอิสลาม คือ วิถีชีวิต ดังนั้น จึงไม่สามารถแยกแยะมุสลิมออกจากวิถีอิสลามได้ในทุกกรณี แม้แต่ในยามเจ็บป่วย

ข้อดีของที่โรงพยาบาลรือเสาะ คือ ตัวผู้อำนวยการเองที่เป็นผู้ที่มีความรู้ทางวิชาการด้านศาสนา มีความรู้ความสามารถในการทำความเข้าใจกับองค์ความรู้หลากหลายภาษา อาทิเช่น อาหรับ มาลายู ไทย และอังกฤษ



โรงพยาบาลรือเสาะ เริ่มต้นกิจกรรมจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ก่อน ขณะเดียวกันก็ได้เริ่มจากสิ่งที่เป็นข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม (วาญิบ : หลักปฏิบัติภาคบังคับที่มุ
กัลลัฟ (มุสลิมผู้อยู่ในศาสนนิติภาวะ) ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม) ในการนำองค์ความรู้อิสลามมาบูรณาการเข้ากับกระบวนการทางสุขภาพ โรงพยาบาลรือเสาะ ต้องอาศัยกระบวนการสืบค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลมากมาย หลายภาษา การบริการสุขภาพสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์และหลังกลับจากพิธีฮัจย์ ซึ่งเป็นการเปิดบริการที่เพิ่มเติมกว่าการตรวจรับยา และฉีดวัคซีนปกติ

การปรับยาในเดือนรอมฎอน สอดคล้องกับวิถีชีวิต การงดเว้นนัดผู้ป่วย OPD ในเดือนรอมฎอน การใช้ปฏิทินอิสลามในการดูกำหนดนัดที่เหมาะสม จุด ER เน้น การสอนให้ผู้ป่วยกล่าวคำปฏิญาณตนต่ออัลลอฮ์ และศาสดามูฮัมหมัด ก่อนกระทำหัตถการใดๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว อาทิเช่น ก่อนฉีดยาสงบประสาทเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจ ผู้ป่วยในระยะสุดท้าย ไม่ว่าจำเป็นต้องช่วยชีวิตด้วยการทำ CPR หรือไม่ก็ตามก็สอนทุกครั้ง เพราะอิสลามถือว่า การตายและการเป็น เป็นหน้าที่ของพระผู้เป็นเจ้า

IPD ที่เป็นจุดเด่นคือ การมีสถานที่ละหมาดสำหรับผู้ป่วยที่สามารถลุกขึ้นเดินได้ หรือคนที่ on HL การจัดทำซิงค์น้ำสำหรับอาบน้ำละหมาดแก่ผู้ป่วยแบบเคลื่อนที่ การจัดทำสื่อสารสุขภาพที่เกี่ยวกับการรับบริการในโรงพยาบาลด้วยภาษามลายู และไทย

การจัดทำสื่อสุขภาพที่สอดคล้องกับวิถีอิสลาม มีการดูแลผู้ป่วย AIDS ด้วยการให้ผู้ป่วยได้เตาบัต (ขอประทานอภัยโทษจากพระผู้เป็นเจ้า) สำหรับความผิดบาปที่ผ่านมาทั้งปวงก่อนการเริ่มต้นให้ยา

โรงพยาบาลรือเสาะเริ่มต้นบูรณาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยเรียนรู้และปรับปรุงแก้ไข เริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยต่อยอดทั้งองค์กร

โรงพยาบาลรือเสาะดำเนินกิจกรรมบูรณาการวิถีอิสลามสู่การให้บริการทางสุขภาพ โดยไม่ได้มุ่งเน้นในด้านคุณภาพว่าต้องเป็น HA หรืออะไรก็ตามหรือไม่แต่อย่างใด การทำคุณภาพให้สอดคล้องกับมิติทางจิตวิญญาณตามบริบทประชากรอาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า สัมผัสได้ดีกว่า ประณีตและยั่งยืน...บนพื้นฐานงานคุณภาพ โดยหลักคิดของ สรพ.

สำหรับ Theme ปีหน้าคือ “การสร้างเสริมสุขภาพผ่านกระบวนการคุณภาพเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน” ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาท้องถิ่น นำไปสู่ระบบบริการสุขภาพที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของความรักความเมตตาและความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

สรพ.แนะปรับรพ.เหมือนบ้านเพื่อการเยียวยาที่ยังยืน



สรพ.แนะสร้างบรรยากาศโรงพยาบาล ให้อบอุ่นเหมือนบ้าน เพื่อการเยียวยาผู้ป่วยที่ยั่งยืน

นายโกเมธ นาควรรณกิจ จากสถาบันรับรองคุณสภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. กล่าวว่า การเยียวยาคือการจัดการบริการสุขภาพ ซึ่งรวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ อาทิเช่น ทางกายภาพ ทางสังคม ทางธรรมชาติ และรวมถึงสภาพภายในจิตใจ ดังนั้น สถาบันรับรองคุณสภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. จึงให้ความสำคัญในจุดนี้ เพื่อผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา สามารถฟื้นฟูสภาพทางกาย และจิตใจได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดร.น.พ สกล สิงหะ จากคณะแพทย์ มอ. กล่าวว่า การฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ป่วย นอกจากอาคารสถานที่แล้ว เรื่องโภชนาการควรให้คนไข้มีทางเลือก ซึ่งจะต้องสอดคล้องกันระหว่างคนไข้กับหมอ การเสนอให้มีโต๊ะอาหารในห้องผู้ป่วย เพื่อให้ญาตินำอาหารมาทานในห้องผู้ป่วยได้ เหมือนกับอยู่ที่บ้าน จัดเวลาให้เหมาะสมในเรื่องเวลาอาหาร

นอกจากนี้ การสร้างความรักในโรงพยาบาล เท่ากับสร้างความไว้วางใจ และมอบความรักให้กับผู้ป่วย จะสร้างความผูกพันระหว่าง คนไข้ กับหมอ คนไข้ กับโรงพยาบาล

สำหรับโรงพยาบาลอบอุ่นเพื่อการเยียวยา ต้องตระหนักว่า ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกาย และจิตใจได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ป่วยที่ไม่นอนโรงพยาบาล จะมีความรู้สึกว่ารักษาโรคหายไปแล้ว แต่ทางจิตใจยังมีความกังวลอยู่

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการลดการเกิดอันตรายทางร่างกาย การตกแต่งโรงพยาบาลให้อบอุ่นเหมือนบ้านก็ดี อีกเรื่องคือความปลอดภัยของผู้ป่วย ถ้าทำตรงนี้ แม้แต่ญาติ ที่มาเยี่ยมผู้ป่วยก็จะเกิดความประทับใจ เกิดการเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ที่โรงพยาบาลนำมาใช้ และก็สามารถนำกลับไปทำที่บ้านได้

“ที่เราจะลืมไม่ได้คือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลต้องให้มีความสุข มีความความสะดวกปลอดภัย แล้วให้เขามีความรู้สึกว่าโรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่เขาทำงานเหมือนบ้านตัวเอง เราลองนึกดู เราอยู่ที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก บ้านเราจะอยู่แค่วันเสาร์ อาทิตย์ แต่ที่โรงพยาบาลหรือที่ทำงานเราอยู่ตั้ง 5 วันจันทร์ถึงศุกร์ฉะนั้น ต้องทำที่ทำงานให้มีความอบอุ่นเหมือนบ้านหลังที่สอง นี่เป็นประเด็นที่เราคาดหวังและมีความตั้งใจอย่างยิ่ง”



ด้านนายโกศล จึงเสถียรทรัพย์ ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาสามรถฟื้นฟูสภาพทางกายและจิตใจ ได้ผลดีอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า การจะทำให้โรงพยาบาลอบอุ่นเหมือนบ้าน นั้น เหมือนการออกแบบบ้าน บ้านจะต้องมีห้องหลายๆ ห้องประกอบกัน การจะทำโรงพยาบาลอบอุ่นเหมือนบ้านเราต้องมาตีโจทย์ว่าเวลาเรามาโรงพยาบาลแล้วมีความรู้สึกว่ามาบ้านแล้วไม่อยากกลับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอย่างมาก

“ความหมายของคำว่าเยียวยาคือการจัดบริการสุขภาพแบบองค์รวม องค์รวมคือ กาย จิต วิญญาณ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดต้องไปด้วยกัน รวมทั้งสิ่งแวดล้อม การบริการเป็นสิ่งจำเป็นในภาพรวม แม้แต่คนไข้ ญาติคนไข้ เพื่อนฝูง อุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวก อาคารสถานที่ ระบบการดูแลผู้ป่วย และยังให้เข้ามาแบ่งปันความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย”

นอกจากนั้น การกรีดร้องก็ถือว่าเป็นการเยียวยาได้เพราะการกรีดร้องเป็นการระบายความรู้สึกที่เจ็บป่วยได้ ในเรื่องของผู้ป่วยที่นับถือศาสนาต่างๆ ก็สามารถนำสิ่งที่ตัวเองเคารพมาไว้ในห้องพักผู้ป่วยได้ก็จะเป็นการเยียวยาทางจิตอีกทางหนึ่งเช่นกัน

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

สสส.เปิดตัว “บัตรเดียว เที่ยวยกครัว

สสส.เปิดตัว “บัตรเดียว เที่ยวยกครัว ทัวร์พิพิธภัณฑ์รอบกรุง” รับวันสงกรานต์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้มีความอบอุ่น

แพทย์หญิงชนิกา ตู้จินดา กรรมการบริหารแผนสำนักสนับสนุนการสร้างการเรียนรู้และสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ของครอบครัว ได้เปิดตัว “บัตรเดียว เที่ยวยกครัว ทัวร์พิพิธภัณฑ์รอบกรุง” HAPPY FAMILY DAY CARD สำหรับครอบครัว เพื่อเข้าชมแหล่งเรียนรู้กว่า 100 แห่งของรัฐฟรี ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

รวมทั้งเป็นส่วนลดแหล่งเรียนรู้ภาคเอกชน อาทิ พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ห้องสมุด สวนสาธารณะ ตลาดน้ำ และศาสนสถาน เพื่อเป็นของขวัญแก่คนไทยในช่วงวันสงกรานต์ ให้ครอบครัวมีโอกาศสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน รวมทั้งกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน ให้ได้รับความรู้ประสบการณ์ตรงผ่านความอบอุ่นของครอบครัว

แพทย์หญิงชนิกา กล่าวอีกว่า “บัตรเดียว เที่ยวยกครัว ทัวร์พิพิธภัณฑ์รอบกรุง” จำนวน 30,000 ใบ โดยจะเริ่มแจกตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนนี้ ใน 6 สถานที่ คือ สถานีรถไฟหัวลำโพง, ที เค ปาร์ค เซ็นทรัลเวิร์ลด ,พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ, พิพิธภัณฑ์หุ้นขี้ผึ้ง จ.นครปฐม องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จ.ปทุมธานี และพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จ.สมุทรปราการ

สามารถดาว์โหลดเพิ่มเติมอย่างไม่จำกัดได้ที่ www.happyfamilyday.com โดยมีเงื่อนไขว่าใช้ได้กับสมาชิกในครอบครัวไม่เกิน 4 คน และตลอดปี 2553 นี้เท่านั้น

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า



ค่ายโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า ที่ดำเนินการโดยกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์โรงเรียนท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 โดยการนำของ นายณรงค์ ปริญญาพรหม หัวหน้ากลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการที่ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้พิสูจน์ข้อสงสัยและสร้างข้อค้นพบ ด้วยตนเองด้วยการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ อย่างสนุกสนาน แตกต่างจากการเรียนวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนอย่างสิ้นเชิง

เด็กนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ จากกิจกรรมที่จัดขึ้นทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว และอยากจะให้มีการเข้าค่ายเป็นระยะเวลาที่นานขึ้น ซึ่งโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มา 3 ปีแล้ว ซึ่งใน 2 ปีแรกนั้นได้รับการสนับสนุนให้จัดปีละ 1 ครั้ง แต่ในปีการศึกษา 2551 ได้รับการสนับสนุนให้จัดปีละ 2 ครั้ง โดยแบ่งจัดภาคเรียนละ1 ครั้ง

นายณรงค์ เล่าถึงความเป็นมาของการจัดค่ายโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า ว่าในปัจจุบันกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการต่าง ๆ อย่างมากมายแม้แต่กระบวนดูแลและสร้างเสริมสุขภาพของตนเองรวมทั้งคนรอบข้าง ยังเป็นการเรียนรู้กระบวนการโครงงานทางวิทยาศาสตร์ไปในตัวอีกด้วย

ซึ่งมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดไว้ว่า การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้รับทั้งความรู้ กระบวนการและเจตคติ ดังนั้นผู้เรียนควรได้รับการกระตุ้นส่งเสริมให้สนใจและกระตือรือร้นที่อยากจะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีความสงสัย เกิดคำถามในสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับโลกธรรมชาติรอบตัว มีความมุ่งมั่นและมีความสุขที่จะศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ เพื่อรอบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผล นำไปสู่คำตอบ และยังกระตุ้นให้ผู้เรียนท้าทายกับการเผชิญสถานการณ์หรือปัญหา มีการร่วมกันคิด ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้สามารถอธิบายทำนายสิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุผล

การประสบผลสำเร็จในการเรียนวิทยาศาสตร์จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความ สนใจ มุ่งมั่นที่จะสังเกต สำรวจ ตรวจสอบ สืบค้นความรู้ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นเกิดนิสัยการเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง

การเรียนรู้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวกั การสร้างเสริมสุขภาพอนามัยในด้านอาหารและโภชนาการ โรคและการป้องกันโรค และด้านสุขลักษณะและสิ่งแวดล้อมที่ดี ร่วมกับการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ พิสูจน์ข้อสงสัยและสร้างข้อค้นพบด้วยตนเองด้วยการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เห็นความสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพ อนามัยที่ดีตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เห็นปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของตนเองและบุคคลรอบข้าง และหาวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหา รวมทั้งหาวิธีสร้างเสริมสุขภาพของตนเองและบุคคลรอบข้างให้ดีขึ้น โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

การจัดค่ายโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า ถือเป็นกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ที่สำคัญวิธีหนึ่ง ที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพทุก ๆ ด้าน ที่ต้องการให้เกิดในตัวผู้เรียน ช่วยให้ผู้ร่วมกิจกรรมรู้จักปรับพฤติกรรมของตนเองให้เข้ากับหมู่คณะ รู้จักการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี และสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตต่อไป อีกทั้งยังสามารถเสริมสร้างกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดขึ้นกับนักเรียน ได้เป็นอย่างดี



สำหรับวัตถุประสงค์สำคัญของการจัดค่ายโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าก็เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ด้านวิทยา ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแล รักษา และเสริมสร้างสุขภาพ เพื่อให้นักเรียนที่เข้าค่ายสามารถทำโครงงานและมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า รู้จักคิดวิเคราะห์ ค้นหาคำตอบ ในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและรับผิดชอบต่อ ส่วนรวม รู้จักนำความรู้ทีได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และเพื่อให้เห็นความสำคัญของการดูแล รักษาสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง นำความรู้ที่ได้ไปเสริมสุขภาพจนเป็นนิสัย

เด็กที่เข้าค่าย นั้นจะเป็นเด็กระดับชั้น ม.ต้น รุ่นละ 120 คน ซึ่งค่าย จะจัดทั้งในโรงเรียน และนอกสถานที่ โดยจะมีครูกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 20 คน เป็นผู้ดูแลนักเรียนที่เข้าค่าย อย่างใกล้ชิด ตลอดทั้ง 2 วัน 3 คืน ซึ่งก่อนการเข้าค่าย ก็จะประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบ และหลังจากนักเรียนเข้าค่ายเสร็จก็จะมีการประเมินผล แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์

จากการเข้าค่าย ที่ผ่านมาพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนของการทำแบบทดสอบก่อนการเข้าค่าย และค่าเฉลี่ยคะแนนของการทำแบบทดสอบหลังการเข้าค่ายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

กิจกรรมที่จัดขึ้นในค่าย นั้นมีหลากหลาย ครบถ้วน เริ่มจากทำความรู้จักกับโครงการค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าและ เรียนรู้ประเภทและขั้นตอนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ กิจกรรมปฏิบัติการตามฐานความรู้ เช่น การทำโยเกิร์ต การทำไวน์ การทำแหนม การตรวจสอบโปรตีน กิจกรรมดาราศาสตร์ การปฏิบัติให้ถูกสุขลักษณะ การตรวจสอบสารปนเปื้อนในอาหาร และกิจกรรมสำรวจสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่มีการระดมสมองด้วย



น.ส.ศิริกัญญา ศรีชมภู นักเรียนชั้น ม.3 ที่เข้าค่าย บอกว่า สนุกกับการเข้าค่าย และได้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์จากการเข้าค่ายมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่า การเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์โดยการเข้าค่าย จะทำให้เกิดการเรียนรู้ ได้มีการพิสูจน์ข้อสงสัย ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ตลอดระยะเวลา 2 วัน 3 คืน ที่มีการเข้าค่ายดูน้อยไป อยากให้มีระยะเวลาในการเข้าค่ายที่มากกว่านี้
นายวสุภาค สีลาคำ นักเรียนชั้น ม.3 ก็บอกเช่นเดียวกันว่า สนุกและได้รความรู้กับการเข้าค่ายมาก โดยเฉพาะกิจกรรมดาราศาสตร์ ที่มีการส่องกล้องดูดาวต่าง ๆ สนุกเพลิดเพลินจนเพื่อน ๆ ไม่อยากจะเข้านอนกัน จนอาจารย์ต้องมาไล่ให้เข้านอน

จากความสำเร็จของการเข้าค่ายโครงการ วิทยาศาสตร์ มีการต่อยอดส่งผลทำให้โครงงานสำรวจภาวะการเจริญเติบโตของนักเรียนโรงเรียน ท่าบ่อ ได้รับรางวัลขวัญใจนักวิจัย ในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ของ สวทช. ปีการศึกษา 2551 ที่ผ่านมา และขณะนี้ได้เสนอให้ทางโรงเรียนมีการจัดเข้าค่าย ให้กับโรงเรียนข้างเคียงด้วย

ซึ่งหากมีการดำเนินการต่อไป ก็จะทำให้เด็กหนองคาย ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ อย่างสนุกสนาน และได้ความรู้ครบกระบวนการ เช่นเดียวกับเด็กนักเรียนของโรงเรียนท่าบ่อ ที่ได้สัมผัสกับโอกาสดังกล่าวแล้ว